หลวงปู่นาค

วัดห้วยจรเข้


หลวงปู่นาคเกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๘ เมื่อท่านครบอายุบวช ๒๑ ปี ก็ได้อุปสมบท ณ. วัดพระปฐมเจดีย์ เมื่ออุปสมบทแล้วก็ได้รับฉายาว่า “โชติโก” ท่านได้ละสังขารในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ รวมสิริอายุได้ ๙๕ ปี

หลวงปู่นาคมีความคิดว่าจะสร้างพระปิดตาไว้แจกศิษยานุศิษย์เพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้กระทำแต่ความดีมีจิตเมตตาต่อผู้อื่น หากจะพกติดตัวหรือไว้บ้านเพื่อเป็นศิริมงคลแก่เจ้าของและคุ้มบ้านคุ้มเรือน เมื่อได้ความคิดเช่นนั้นท่านก็ออกแบบนำหุ่นขี้ผึ้ง นำโลหะเมฆพัดหล่อหลอมในเบ้า เทเนื้อเมฆพัดลงไปในแบบที่เตรียมไว้ เมื่อได้พระปิดตาตามที่ต้องการก็นำไปแต่งองค์พระให้มีนิ้วและความสวยงามเรียบร้อย ทำกรรมวิธีลงเหล็กจารหน้าหลังปลุกเสกเป็นอันว่าเสร็จครบสูตรบริบูรณ์

พระปิดตาห้วยจรเข้ได้สร้างล่วงเลยมาแล้วกว่า ๑๒๐ ปี ผู้ใดมีไว้ครอบครองถือว่ามีบุญญาวาสนา

ในสมัยที่ท่านได้จัดสร้างพระปิดตาเนื้อเมฆพัดนั้น พระปิดตาของท่านจัดว่าเป็นที่นิยมเป็นเอกอุ แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี มหานิยม เป็นหนึ่งในแดนสยามจะแสวงหาเป็นกรรมสิทธิ์นั้นยากมาก ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ขนาดเจ้าของพระสมเด็จวัดระฆังจะขอแลกกับพระปิดตาห้วยจะต้องแถมที่นาอีก ๑ ไร่

ปัจจุบันนี้มีการทำเลียนแบบพระปิดตาห้วย โดยการนำพระห้วยรุ่นลูกศิษย์หรือเทขึ้นมาใหม่แล้วลงเหล็กจารใหม่ หลังจากนั้นทำการลบเหล็กจารให้เลือนลางเสมือนหนึ่งแลดูเหล็กจารเก่า สำหรับผู้ที่ชำนาญในการดูได้กล่าวไว้ว่าเหล็กจารทำเก่าได้แต่วิญญาณความเก่านั้นทำไม่ได้ ท่านที่จะเช่าหาเป็นเจ้าของควรพิจารณาให้ถ่องแท้ อย่าให้ความโลภเกาะกินใจ

ปิดตาห้วยหลวงปู่นาคนั้นท่านได้จัดสร้างหลายเนื้อ อาทิเช่นเนื้อเมฆพัด เนื้อตะกั่ว เนื้อดินขุยปู ส่วนการลงเหล็กจารนั้นมีหลายสูตร สูตรย่อ สูตรสั้น สูตรยาว ไม่ว่าสูตรใดก็แล้วแต่นับว่าเป็นการจารที่สมบูรณ์ทุกๆ องค์ตามความประสงค์ผู้จัดสร้าง ศักดิ์สิทธิ์เท่ากัน


หลวงปู่บุญ

วัดกลางบางแก้ว


หลวงปู่บุญเกิดเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๙๑ จ.สมุทรสาคร บิดาของท่านมีนามว่า เส็ง มารดามีนามว่า ลิ้ม พอหลวงปู่บุญมีอายุได้ ๑๓ ปี โยมพ่อก็ถึงแก่กรรม โยมป้าของท่านก็ได้นำไปฝากให้เรียนหนังสือกับพระปลัดทอง วัดกลางบางแก้ว เมื่อหลวงปู่บุญอายุได้ ๑๕ ปี ท่านก็ตั้งใจจะบวช หากแต่ต้องล้มเลิก เพราะว่าร่างกายท่านอ่อนแอ จนกระทั่งอายุ ๒๒ ปี ท่านก็ได้กลับมาบวชที่วัดกลางบางแก้ว เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๔๑๒ โดยมีพระปลัดปาน วัดตุ๊กตา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดทอง เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว เป็นกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่บุญอุปสมบทได้รับฉายาว่า "ขนฺธโชติ" ต่อมาได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็น "พระพุทธวิถีนายก"

พ.ศ. ๒๔๒๙ ได้รับการแต่งตั้งเป็น พระอธิการ เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว
พ.ศ. ๒๔๓๑ ได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าคณะอำเภอ
พ.ศ. ๒๔๕๙ ได้รับการแต่งตั้งเป็น พระอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม
พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้รับการแต่งตั้งเป็น “พระครูพุทธวิถีนายก”
พ.ศ. ๒๔๗๑ ได้รับการแต่งตั้งเป็น พระราชาคณะ

หลวงปู่บุญมรณภาพ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๔๗๘ รวมสิริอายุได้ ๘๙ ปี พรรษาที่ ๖๗

มีพระเกจิอาจารย์หลายท่านได้แลกเปลี่ยนวิชาคาถาอาคมกับหลวงปู่บุญคือ
๑. พระครูทับ วัดทอง ผู้สร้างพระปิดตายันต์ยุ่ง
๒. ท่านเจ้าคุณสุนทร วัดกัลยาณมิตร
๓. หลวงปู่นาค วัดห้วยจรเข้ (วัดห้วยจระเข้) ซึ่งท่านสร้างพระปิดตา เนื้อเมฆพัด โด่งดังสะท้านพิภพเมื่อประมาณ ๘๐ ปีที่แล้วมา (ประมาณช่วงเวลา ๒๔๗๔) ถ้าหากผู้ใดมีพระสมเด็จวัดระฆังไว้ในครอบครอง และสนใจพระปิดตาหลวงปู่นาค กล่าวคือ พระสมเด็จแลกพระปิดตาห้วยจรเข้ เจ้าของพระสมเด็จจะต้องแถมเงินให้ ๕ บาท ลองคิดดูสิว่า เงิน ๕ บาทสมัยนั้นซื้อที่นาได้กี่ไร่ (ประมาณไร่ละบาท)
๔. สมเด็จพระสังฆราชแพ สมัยดำรงตำแหน่งเป็น พรหมมุณี ก็ได้แวะเวียนมายังวัดกลางบางแก้ว เพื่อเสวนากับหลวงปู่บุญอยู่เป็นเนืองนิจ
๕. เจ้าคุณศรีสนธิ์ วัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชแพ ได้ส่งไปศึกษาวิชาพระคาถาอาคมต่างๆ เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงกับหลวงปู่บุญ


หลวงพ่อเงิน

วัดบางคลาน


หลวงพ่อเงินเกิดเมื่อประมาณ ๑๘๕ ปีที่แล้ว ซึ่งไม่ทราบ พ.ศ. ที่แน่ชัด และท่านมรณภาพในช่วงต้นรัชกาลที่ ๖ หลวงพ่อเงินได้อุปสมบทที่วัดตองปุ (วัดชนะสงคราม กรุงเทพมหานคร) และหลังจากบวชไม่นาน ท่านก็ได้เดินทางกลับไปยังวัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร

การสร้างรูปหล่อเหมือนหลวงพ่อเงินนั้น จัดว่าเป็นการหล่อรูปหล่อเหมือนลอยองค์เป็นยุคแรกๆ ของบรรดาเหล่าเกจิอาจารย์ ในการจัดสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อเงินนั้นท่านจะเป็นเจ้าพิธีการปลุกเสก ส่วนการหล่อก็จะมียายวันเป็นผู้ออกแบบ ถอดหุ่น และหล่อ ณ. โรงหล่อบ้านช่างหล่อ จังหวัดธนบุรี ซึ่งมี ๔ แบบ ได้แก่
๑. รูปหล่อลอยองค์ พิมพ์นิยม
๒. รูปหล่อลอยองค์ พิมพ์ขี้ตา
๓. รูปหล่อจอบใหญ่มีห่วง
๔. รูปหล่อจอบเล็กมีห่วง

นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีพิมพ์ต่างๆ ที่ทำมาจากดิน
๑. รูปเหมือนลอยองค์
๒. พระสมเด็จมีอุ และไม่มีอุ
๓. พระสมเด็จคะแนน
๔. พระเจ้าห้าพระองค์
๕. นางกวัก
๖. ลูกอม
๗. รูปลอยองค์แกะจากไม้ละมุด
๘. ประคำ
๙. เหรียญหล่อรูปไข่ หลังมียันต์ (เนื้อทองเหลือง)
๑๐. รูปเหมือนหลังลงเหล็กจารแกะจากเขาควาย


หลวงพ่อดิ่ง

วัดบางวัว


หลวงพ่อดิ่งเป็นชาวบางวัว เกิดเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๒๐ สมัยเด็กท่านชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีจิตเมตตา เมื่อถึงวัยบวชท่านจึงได้อุปสมบทที่วัดบางสมัคร จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีหลวงพ่อดิษฐ์ วัดบางสมัครเป็นพระอุปัชฌาย์ ภายหลังได้บวชแล้วก็เริ่มศึกษาร่ำเรียนกับหลวงพ่อดิษฐ์ เรื่องไสยเวท การทำน้ำมนต์ไล่ผี เสนียด และจัญไร คนที่ถูกมนต์ดำต่างก็พาไปให้หลวงพ่อดิ่งอาบน้ำมนต์หายเป็นปลิดทิ้ง เป็นที่โจษจันกันนักแล

เครื่องรางของขลังที่หลวงพ่อดิ่งได้จัดสร้างก็มีลิงไม้แกะในท่านั่งจับกระบอง ลูกอมสีดำ ผ้ายันต์ ไม้ครูไล่ผี รูปภาพหลวงพ่อดิ่งในท่านั่งเต็มองค์ ด้านหลังจารดินสอ-หมึก ปิดตาไม้แกะ ปิดตาเมฆพัด

ท่านได้จัดสร้างเหรียญนิยมของท่าน เมื่อครบแซยิด ๖๐ ปี หลวงพ่อดิ่งได้ละสังขาร เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๕


หลวงพ่อเดิม

วัดหนองโพ


หลวงพ่อเดิม หรือ พระครูนิวาสธรรมขันธ์ ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๐๓ มีบิดาชื่อเนียม และมารดาชื่อภู่ หลวงพ่อเดิมเป็นชาวอำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบทในวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ ที่วัดเขาแก้ว อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีหลวงพ่อแก้ว วัดอินทาราม เป็นอุปัชฌาย์ และหลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง เป็นพระคู่สวด ซึ่งหลวงพ่อเดิมได้รับฉายาว่า “พุทธสโร” หลวงพ่อเดิมได้ไปจำพรรษาที่วัดหนองโพ หลังจากท่านเพิ่งจะบวชได้ไม่นาน

หลวงพ่อเดิมได้ร่ำเรียนวิชาทำน้ำมนต์กับหลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง วิชาทำตะกรุดกับหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล และวิชาทำมีดหมอกับหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว

พ.ศ. ๒๔๓๕ หลวงพ่อเดิมได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นอธิการ
พ.ศ. ๒๔๕๗ หลวงพ่อเดิมได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูนิวาสธรรมขันธ์ และรองเจ้าคณะแขวงเมืองนครสวรรค์
พ.ศ. ๒๔๖๒ หลวงพ่อเดิมได้รับการแต่งตั้งเป็นอุปัชฌาย์

หลวงพ่อเดิมได้ละสังขารเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้นมีผู้ประสบมามากหลายเกินกว่าที่จะบรรยาย คงเหลือไว้เพียงแต่ความทรงจำ พระเครื่องและเครื่องรางของขลังที่หลวงพ่อเดิมได้จัดสร้างไว้ อาทิเช่น รูปหล่อเหมือนในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ เหรียญ ผ้ายันต์รอยเท้า พระปิดตาตะกั่ว พระปิดตาทองเหลือง พระปิดตางาแกะ รูปถ่ายหลวงพ่อเดิม มีดหมอ ภาพพิมพ์สี พระงาแกะ นางกวักงาแกะ แหวนเงินถมดำ แหวนเงินลงยาสี รูปหล่อเหมือนขนาด ๕ นิ้ว ตะกรุดกระดูกห่าน ตะกรุดเงิน-ทองแดง-ฝาบาตร์ และลูกคั่นไม้สะกดหัวลูกปืน ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ปัจจุบันของแท้ล้วนเป็นของหายาก ฉะนั้นถ้าจะเช่าหาโปรดพิจารณาให้ดี ของเลียนแบบมีอยู่มาก

วันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ เป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำการสรงน้ำหลวงพ่อเดิม พวกศิษยานุศิษย์ต่างอาลัยอาวรณ์ ร่ำไห้เสียงระงมไปทั่ววัด โศกเศร้าเป็นยิ่งนักที่หลวงพ่อเดิมจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ขณะที่ทำการสรงน้ำชำระทำความสะอาดร่างกายของหลวงพ่อเดิมนั้น น้ำก็ไหลนองลงพื้นศาลาไชชอนลอดร่องหยดลงพื้นข้างล่าง ลูกศิษย์ต่างก็แห่กันมาใต้ศาลาอย่างเนืองแน่นเพื่อจะรองน้ำที่สรงหลวงพ่อเดิมสำหรับนำไปเก็บไว้บูชา บางคนก็นำไปดื่มกินเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเดิมนั้นสุดที่จะนำมาพรรณา


หลวงพ่อน้อย

วัดศีรษะทอง


หลวงพ่อน้อยเกิดเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๓๕ โดยมีบิดาชื่อนายมา และมารดาชื่อนางมี โยมพ่อนั้นมีเชื้อสายลาว เวียงจันทร์ มีความรู้ทางไสยเวท และหมอแผนโบราณ

เมื่อหลวงพ่อน้อยอายุครบ ๒๑ ปี ได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๔๕๖ ท่านได้รับนามฉายาว่า คนฺธโชโต ซึ่งท่านได้บวชอยู่ที่วัดอื่นประมาณสองปี แล้วจึงได้ย้ายกลับวัดศีรษะทอง แขวงนครไชยศรี จ.นครปฐม ซึ่งท่านมีตำแหน่งสุดท้ายเป็นเจ้าคณะ - อุปัชฌาย์

หลวงพ่อน้อยได้ศึกษาการสร้างพระราหูอมจันทร์ - อาทิตย์ และวัวธนู จากโยมบิดา พระราหูของหลวงพ่อน้อยนั้นเชื่อถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสยาม ใช้ในทางโชคลาภ หนุนดวง กันและแก้คุณไสย์ หลวงพ่อน้อยได้สร้างพระราหู แกะจากกะลาตาเดียวซึ่งมีขนาดต่างๆ คือ เล็ก กลาง ใหญ่ และกะลาทั้งใบ

การสร้างพระราหูอมจันทร์ - อาทิตย์ จะต้องปลุกเสกในช่วงเวลาเกิดจันทรคราส - สุริยคราส เท่านั้น จะต้องหยุดทำการปลุกเสกก่อนพระจันทร์คลายตัว ส่วนการสร้างวัวธนูนั้น จะต้องขึ้นโครงวัวเสียก่อน โดยโครงวัวธนูนั้นจะเป็นเส้นลวดทองแดง เงิน และทอง เมื่อขึ้นโครงเสร็จแล้วก็รอทำการปลุกเสกในช่วงเวลาราหูอมจันทร์ - อาทิตย์ จากนั้นก็นำครั่งพุทราที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเพื่อนำมาปั้นกับโครงวัวธนู ถ้าวัวธนูตัวใดปั้นยังไม่แล้วเสร็จก่อนพระจันทร์คลายตัว จักต้องทำการทำลายทิ้ง เพราะถือว่าเป็นการไม่ครบสูตร

การลงเหล็กจารด้านหลังของพระราหู มี ๔ พระอาจารย์ คือ
๑. หลวงพ่อน้อย ลายมือค่อนข้างหนักแน่น เส้นน้ำหนักกลางๆ
๒. อาจารย์ปิ่น เส้นค่อนข้างเบา
๓. อาจารย์สม จารเส้นใหญ่
๔. อาจารย์สี จารน้อยมาก ไม่ค่อยพบเห็น

ใครมีพระราหูอมจันทร์ - อาทิตย์ไว้ในครอบครอง ถือว่าเป็นบุญาวาสนา

ปัจจุบันของปลอม ยังมีการแกะอย่างแพร่หลาย เข้าใจว่าของแท้ประมาณการว่า ๑:๑๐๐ ซึ่งพระราหูอมจันทร์ของแท้นั้นได้สร้างไว้น้อยมาก

ทางเหนือนั้นก็มีการสร้างพระราหูอมจันทร์ - อาทิตย์เช่นกัน แต่แตกต่างกับภาคกลางซึ่งสังเกตได้ชัดเจนคือ ศิลปะ และการลงเหล็กจารแบบอักขระภาษาล้านนา


หลวงพ่อปาน

วัดบางนมโค


หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จังหวัดอยุธยา ท่านมีนามเดิมว่า ปาน สุทธาวงษ์ เป็นบุตรนายอาจและนางอิ่ม ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฏาคม ๒๔๑๘ ซึ่งเป็นวันศุกร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ และท่านมรณะภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ที่อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา

ครั้นหลวงพ่อปานมีอายุได้ ๒๑ ปี ท่านได้เข้าอุปสมบท ณ. วัดบางนมโค เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๘ โดยมีหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นอุปัชฌาย์ อาจารย์จ้อย วัดบ้านแพน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์อุ่ม วัดสุทธาโภชน์ เป็นอนุสาวนาจารย์ โดยหลวงพ่อปานได้รับฉายาว่า “โสนันโท”

พ.ศ. ๒๔๓๘ ถึง ๒๔๔๐ หลวงพ่อปานได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ จากหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ
พ.ศ. ๒๔๗๐ หลวงพ่อปานได้สร้างศาลาการเปรียญ
พ.ศ. ๒๔๗๔ ท่านได้รับการแต่งตั้งสมศักดิ์เป็น “พระครูวิหารกิจจานุการ” เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๔๗๘ หลวงพ่อปานได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดบางนมโค
พ.ศ. ๒๔๗๙ หลวงพ่อปานได้สร้างเขื่อนหน้าวัด

ปฐมเหตุที่มาการสร้างพระพิมพ์ต่างๆ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อุดผงวิเศษด้านบน ตั้งแต่ปี ๒๔๕๐ จนเรื่อยมา โดยหลวงพ่อปานได้นิมิตจากชีปะขาว บอกให้ท่านสร้างพระ ๖ พิมพ์ ซึ่งได้แก่ ครุฑ ลิง เม่น ไก่ นก และปลา เพื่อนำรายได้ไปปรับปรุงซ่อมแซมถาวรวัตถุภายในวัดบางนมโค


หลวงพ่อพริง

วัดบางปะกอก


ไม่มีบทความสำหรับหลวงพ่อพริง ในขณะนี้


หลวงพ่อเหลือ

วัดสาวชะโงก


หลวงพ่อเหลือ หรือ พระครูนันทธีราจารย์ แห่งวัดสาวชะโงก จังหวัดฉะเชิงเทรา ลุ่มแม่น้ำบางปะกง เป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเกียรติคุณอันโด่งดังเรื่องขมังเวทย์ ไสยเวท และท่านก็ยังได้รับเชิญเข้าร่วมพุทธาภิเษกในงานใหญ่ๆ หลายต่อหลายครั้งที่กรุงเทพมหานคร ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นแค่พระเถระคณาจารย์ต่างจังหวัดก็ตาม ความขลังย่อมเป็นที่โจษจรรย์ ท่านได้สร้างผ้ายันต์ รูปภาพ ล๊อคเก็ต ในงานฉลองเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครู เครื่องรางที่ท่านได้จัดสร้างซึ่งโด่งดังเป็นอันดับหนึ่งแห่งแดนสยามคือ ปลัดขิกไม้แกะ ลงเหล็กจารด้านซ้าย-ขวา ว่า กันหะ เนหะ และตัวอุ ที่หัวปลัดขิก

ปัจจุบันมีนักฉวยโอกาส ได้นำปลัดขิกเก่าที่ไม่ได้ลงเหล็กจาร นำมาจารใหม่แล้วลบอักขระใหม่ให้เก่า แลดูเหมือนหนึ่งเป็นของเก่าดั่งเดิม ใครจะเช่าหาควรปรึกษาผู้รู้จริง เสียเงินไม่ว่า แต่จะเสียความรู้สึก แต่ถ้าไม่เสียทั้งสองอย่างก็จะดี